เล่มนี้เป็นหนังสือที่มีคนแนะนำให้ผมอ่านหลายคนมาก เป็นหนังสือที่เก่า แต่สามารถนำมาปรับใช้ในการลงทุนได้ในปัจจุบัน
1.ลงทุนในหลักทรัพย์ ต้องทำให้เหมือนกับการเข้าหุ้นทำธุรกิจ
- ผมสามารถที่จะเป็นหุ้นส่วนในบริษัท ที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้นำอยู่ได้ทันที บางครั้ง ผมลงทุนถูกกว่าเจ้าของบริษัทเสียอีก นั่นก็คือราคา หุ้นต่อราคาตามบัญชี คือราคาหุ้นที่คุณจ่าย ส่วนราคาหุ้นที่เจ้าของเดิมจ่าย
- หุ้นนั้นต้องการความมั่นคงในความที่สูงมาก ต้องมีสไตล์การเล่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงกับไปมา ต้องทำงานถึงจะเห็นผล
- ธุรกิจส่งออกคือความหวัง เพราะเมื่อเศรษฐกิจในประเทศถดถอย สามารถส่งออกได้
- กลุ่มผู้ผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภค คือ บริษัทที่ขายสินค้าประเภทมียี่ห้อติดตลาด เช่น หุ้นเสริมสุข หุ้นพิซซ่า หุ้นไอศครีม ไอศครีมนั้นกำไรดีมาก คนชอบกิน และกินได้บ่อยบ่อย คนกินเสร็จเร็วไม่กี่นาทีคนใหม่เข้ามา
- ธุรกิจสัมปทาน เป็นธุรกิจที่ดี เพราะว่าบ้านเราขาดแคลน สาธารณูปโภคพื้นฐานอยู่มาก โอกาสในการที่จะขยายตัวจึงมีสูง เช่นแอดวานส์ ช่อง 3 EGCOM ประปา
- ธุรกิจการเงิน โดยทั่วไปจ่านไม่ต่ำกว่า 6 เท่าของเงินเดือน ระบบธนาคารจะไม่มีหนี้เสียถึง 30 ถึง 40% เมื่อคุณซื้อหุ้นของธนาคาร คุณกำลังพนันว่าภาวะธุรกิจโดยรวมของประเทศ จะดีขึ้นเรื่อยเรื่อย
- ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ ผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้ ซึ่งกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของสินค้าในช่วงเวลานั้น
- ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ บริษัทที่ขายสินค้าในประเทศเป็นหลัก โอกาสที่จะทำกำไรสูงนั้นยากมาก
- สำหรับผม การลงทุนเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง มันใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ การวิจารณ์ คาดการณ์ จังหวัดการซื้อ การรอคอย การขาย และความเข้มแข็งของจิตใจ ในการเผชิญกับความผันผวนในโลกของเศรษฐกิจการเงิน
2.การวิเคราะห์ฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการ
- การตัดสินใจในการเลือกหุ้น มักมีอารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ของตนมาเกี่ยวข้อง ซึ่งบางครั้งก่อให้เกิดความลำเอียงในการลงความเห็น
- นักวิเคราะห์เน้นการลงทุนสั้นๆ
3.หุ้นถูก หุ้นแพง
- เพื่อนผมหลายคน ชอบใช้สินค้าแบรนด์เนมคุณภาพสูง แต่ไม่มีเงิน วิธีการง่ายง่าย เพื่อนเพื่อนมักจะแวะเวียนปที่ร้านขาย เพื่อดูว่าสินค้านั้นลดราคาหรือไม่ เช่นช่วงซัมเมอร์เซล ลดลงมาถึง 50% ก็มี เพื่อนผมจะไม่รอช้ารีบซื้อทันที
- คุณภาพของหุ้น ดูที่กำไรต่อหุ้น ว่าใครมี ความสามารถในการทำกำไรมากกว่ากัน หรือเรียกว่าอีพีเอส โต 15% ต่อปี ถือว่าโตเร็วหรือเป็นหุ้นคุณภาพดี
- ควรดูที่ค่า PE โดยเฉลี่ยของตลาด
- คุณภาพกับราคาหุ้น ดูที่ค่า PEG เกิดจากการคาดการณ์อนาคตไปหลายปี เอาแน่มากไม่ได้
- เมื่อภาวะเงินสะพัด ผู้คนมักมีความโลภเป็นที่ตั้ง
- ตลาดเป็นเพียงสื่อกลางในการเก็งกำไร ไม่ใช่สื่อกลางในการลงทุน
4.สไตล์การลงทุน
1.หุ้น โตเร็วนั้น เป็นหุ้นที่เซกซี่ เป็นหุ้นของบริษัทที่เป็นดาวรุ่ง อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น พวกคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์
- ในยามที่เศรษฐกิจดีมากๆ ราคาหุ้นจะสูงขึ้นมาก และในยามเศรษฐกิจตกสะเก็ด หุ้นโตเร็วนั้น จะตกแรงกว่าหุ้นโดยทั่วไป
- ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยแย่มาก
2.ลงทุนในหุ้นแบกับดิน
- ราคาหุ้นต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ส่วน 3 ของสินทรัพย์หมุนเวียนลบหนี้สินทั้งหมด นั่นหมายความว่า เมื่อขายบริษัท ก็จะยังมีเงินสดเหลืออยู่มากเกินกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อ
- ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูงมาก
- นักลงทุนมักจะทำอะไรที่เว่อร์ จนทำให้หุ้นตกลงมาเกินความเป็นจริง
3.ลงทุนเหวี่ยงแห ผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งโดย เฉลี่ยของตลาด
- สถิติบอกว่าการลงทุนเดาสุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุน โดยนักลงทุนมืออาชีพที่บริหารกองทุนรวม กว่า 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
4.สไตล์แตกแขนง
- เหมือนบริษัทที่มีการเติบโต มีเครื่องหมายการค้า ที่แข็งแกร่ง หรือเลือกลงทุนหุ้นโตเร็ว ที่มีโมเมนตัม หรือมีแรงเฉื่อย คือเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงๆ หุ้นจะต้องวิ่งต่อไป อยู่อยู่จะหยุดไม่ได้ ราก็ต้องวิ่งต่อ ยิ่งวิ่งมากเร็วมาก แรงมาก แรงเฉื่อยมาก ยิ่งน่าซื้อ
สรุป เราจะเลือกสไตล์ไหนดี
- เมื่อเราต้องผ่านคู่ต่อสู้ ชกแพ้ชนะมามากถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้เอง
- ในการลงทุนนั้น ควรจะยึดหลักมั่นในแนวทางใดแนวทาง 1 ถ้าไม่มีสไตล์ นั้นคือมวยวัด พยายามเปลี่ยนแปลงแนวทางตามภาวะ คุณจะล้มเหลว คนเราเป็นอะไร 2 ที่ขัดแย้งกันไม่ได้ คุณต้องเลือกเอา และเมื่อคุณเลือกแล้ว อยากเปลี่ยนใจกลับมา
5.ตีแตก
- ตามกฏ เบน เกรแฮม ว่าราคาหุ้นที่น่าลงทุนนั้น ไม่ควรเกิน 2 ในสาม ของการเอาสินทรัพย์หมุนเวียน ซึ่งประกอบด้วยเงินสด ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง ลบด้วยนี้ทั้งหมดของบริษัท คิดเฉลี่ยต่อหุ้น
- ดูหุ้นที่เป็นสินทรัพย์มาก ถ้าเจ้าของไม่ขายออกไป ไม่จ่ายเงินปันผล ในที่สุดทรัพย์สินสมบัตินั้น ก็มีค่าลดลงไปได้ บริษัทอาจมีขาดทุนซ้อนไว้อยู่เหมือนกัน
- อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ราคาหุ้นกู้ที่ขายในท้องตลาดก็จะปรับตัวลดลง
- เกิดปัญหาเศรษฐกิจ มีโอกาสทำให้อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดสูงมาก เช่นอัตราดอกเบี้ยระหว่างสถาบันการเงินสูงกว่า 20% ต่อปี
- ผู้ถือหุ้นกู้ก็คือเจ้าหนี้ตามกฎหมาย สามารถไปหักเงินกับบริษัทที่เราเป็นหนี้อยู่ได้
6.นักลงทุนเอกของโลก
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบธุรกิจที่มีแฟรนไชส์ หมายถึง โค้ก มีดโกน และไม่ชอบธุรกิจที่ เปลี่ยนแปลงเร็ว แต่สนใจธุรกิจที่เข้าใจง่าย ถ้าเขาไม่รู้แน่ชัดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทจะเป็นอย่างไร เค้าจะไม่ซื้อคนนั้น มีผลดำเนินงานสม่ำเสมอ เป็นธุรกิจที่คู่แข่งทำลายได้ยาก มี goodwill หรือค่าความนิยมมหาศาล
- ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะเป็นสินค้าราคาถูก แต่ซิ้อเพราะนิยมในตัวสินค้าหรือยี่ห้อสินค้านั้น
- จอร์จ โซโรส เฺฮดจ์ฟันด์ เป็นกองทุนที่หวือหวา เล่นได้เสียกันอย่างหนัก เป็นคนที่ปล้นแบงค์ชาติอังกฤษ แต่ก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาเป็นผู้ร้าย เขาเน้นที่ตลาดเงิน ส่วนบัฟเฟตต์เน้นหุ้น
- การที่จะคาดการณ์ทิศทางตลาด คุณต้องรู้ถึงจิตวิทยาของคนเล่น เพื่อหาจังหวะเข้าตลาดและโจมตีค่าเงินของประเทศต่างๆ
7 .การค้นหาหุ้นที่จะซื้อและขาย
- สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่เทคนิคซับซ้อน หรือต้องอาศัยวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูง มาคำนวณหาคำตอบ แต่เป็นความเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งที่พบเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นจะมองอย่างไรหรือยังไม่ได้มอง ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะสนใจ ว่ากันตามจริงแล้วถ้าเค้ายังไม่เชื่อ หรือยังไม่สนใจหุ้นที่เราค้นพบนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
1.กำไร
- กำไรเป็นตัวที่จะทำให้หุ้นขึ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดีอย่างต่อเนื่อง
2.ยอดขาย
- กำไรอาจจะยังไม่ชัดเจน เพราะเรื่องการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ในเรื่องต้นทุนของวัตถุดิบ
3.กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
- ควรจะอยู่ที่ 15% ต่อปี
4.มูลค่าหุ้นทั้งบริษัท
- Market capitalization ยิ่งสูงยิ่งดี
- เปรียบเทียบว่าต้องการเงินนับพันล้านเพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งหมด ขณะที่ผมรู้ว่าธุรกิจนั้นด้วยนะครับภาพที่ไม่ดีนัก
5.P/E
- ดูว่าเราสามารถคืนทุนได้ภายในกี่ปี ?
6.P/B
- ใช้เมื่อบริษัทอาจจะมีกำไรผันผวนเป็นบางครั้ง
- ค่าความนิยมจะไม่ปรากฏอยู่ในบัญชี
- เราต้องเป็นคนที่เปิดหูเปิดตา คือรับข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา วิเคราะห์ว่าเขานั้นมีเหตุการณ์นั้นจะกระทบยังไงต่อเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุนที่เกี่ยวข้อง
- การซื้อขายหุ้นตามเจ้าของหรือผู้บริหาร เพราะพวกเขาอยู่ข้อมูลบริษัทมากกว่าคนภายนอก
8.เรื่องน่าห่วงในการลงทุน
- ความเป็นห่วงนั้นในบางเรื่องผมคิดว่าไม่เป็นสาระ
1.การกระจายความเสี่ยง
- สามารถลดความเสียหายได้ แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่พอร์ตการลงทุนของคุณจะมีผลตอบแทนดีมากๆ ก็จะตกลงไปด้วย
- ควรจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวมากน้อยตามความสนใจ ถ้ามั่นใจก็ลงมากหน่อย
2.สภาพคล่อง
- หุ้นส่วนใหญ่ของผมเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำทั้งนั้น
3.ผู้บริหาร
- ไม่ควรเป็นผู้อนุรักษ์นิยม เป็นพวกล้าหลัง
- ธุรกิจโดยทั่วไปที่จะไปได้ดี หรือไปได้ไม่ดีเท่าไหร่นั้น 70 ถึง 80% มาจากตัวธุรกิจเอง ที่เหลือมาจากผู้บริหาร
- บริษัทไม่ควรขอซื้อทรัพย์สิน เช่นที่ดินจากเจ้าของหรือผู้บริหาร
- บริษัทที่ตั้งบริษัทลูกหลานหลายบริษัท บางทีเกินความจำเป็น