“เราอย่ามัวดิ้นรนไขว่คว้าหาความมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบเลย เพราะบางแง่มุม… ความไร้เหตุผลนี้เองที่ทำให้มนุษย์เรา เป็นสิ่งชีวิตที่พิเศษที่สุด จงเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง” เป็นประโยคเด็ดที่ผมชอบมากในหนังสือเล่มนี้
เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล :
THE UPSIFE OF IRRATIONALITY
ชื่อหนังสือ : เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล
ชื่อผู้แต่ง : Dan Ariely
ผู้แปล : พรเลิศ อิฐฐ์, วิโรจน์ ภัทรทีปกร
สำนักพิมพ์ : WE LEARN
ปีที่พิมพ์ : พ.ศ. 2556
จำนวนหน้า : 350 หน้า
ISBN : 9876167164809
ราคา : 265 บาท
สรุปเนื้อหาในหนังสือ :
บทเรียนจากการผัดวันประกันพรุ่ง และผลข้างเคียงต่อสุขภาพ : เราทุกคนล้วนมีภารกิจสำคัญๆ ที่อยากจะผัดผ่อนออกไปก่อนทั้งนั้น แน่นอนว่าในโลกที่มุนษย์ใช้แต่เหตุผล เราจะคำนวณประโยชน์ในระยะยาวเมื่อเทียบกับความพึงพอใจในระยะสั้น เราจะเข้าใจว่าอนาคตเราจะได้อะไรมากกว่า หากเรายอมทนลำบากสักหน่อยในปัจจุบัน แต่น่าเศร้าตรงที่เรามักจะพึงพอใจในระยะสั้นมากกว่า “การเข้าใจพลังอันไร้เหตุผลให้ดีขึ้นจะเป็นก้าวแรกไปสู้การตัดสินใจที่ดีขึ้น”
จ่ายมากขึ้น แต่ได้น้อยลง ทำไมการจ่ายเงินโบนัสก้อนโตถึงใช้ไม่ได้ผลเสมอไป : มีการทดลองกับหนู เมื่อถูกไฟช๊อตแรงเท่าไร ก็จะยิ่งเรียบรู้ได้เร็วเท่านั้น เราก็จะสรุปได้ว่าขนาดของสิ่งจูงใจมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการทำผลงาน มีการใช้ทฤษฎีการเกลียดชังความสูญเสีย และอาจจะสรุปการให้รางวัลมากๆ จะมีผลต่อเมื่องานนั้นใช้แรงกาย สรุปคือเราอาจจะแบ่งเงินโบนัสเป็นก้อนเล็กๆ เพื่อจ่ายถี่ขึ้น
ความหมายของการทำงาน ตัวต่อเลโก้สอนอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับความสุขในการทำงาน : ถ้าเราทำงานอยู่แห่งหนึ่ง หน้าที่เราคือสร้างสไลด์ ทุกครั้งที่ทำเสร็จ จะมีคนเอาสไลด์นั้นไปลบทิ้ง แต่เราก็ยังคงได้ค่าตอบแทนสูง เราจะมีความสุขแค่ไหนกับการทำงานแบบนี้ ?
การเมินของฟรี : สิ่งมีชีวิตจะเลือกผลตอบแทนที่มากที่สุดโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด
การทดลองโดยให้ต่อเลโก้ และทำลายทิ้ง สรุปผลว่า ถ้าเราเป็นผู้บริหารที่ต้องการลดแรงจูงใจของพนักงาน ก็ให้ทำลายผลงานของเขาต่อหน้าต่อตาเลย ในทางกลับกัน ถ้าต้องการให้แรงจูงใจเขา เราก็ต้องให้ความสำคัญในตัวเขา ความพยายามเขา รวมถึงผลงานเขาด้วย
การแบ่งงานย่อยๆ : เราจะทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ในหน้าที่นั้นๆ แต่ต้องแลกมาด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนงาน เพราะเขาจะไม่สามารถค้นพบความหมายของงานที่ทำนั้นได้เลย
ปรากฎการณ์อิเกีย ทำไมเราถึงตีค่าสิ่งที่ตัวเองทำเสียสูงลิ่ว : ความภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนสร้าง และเป็นเจ้าของนั้นฝังรากลึกอยู่ในตัวมนุษย์ มีแป้งเค้กสำเร็จรูปทำให้การทำเค้กเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ทำให้ไม่รู้สึกว่าเค้กนั้นเป็นของตนเอง การลงทุนลงแรงจะส่งผลให้เกิดความผูกพัน การตลาดก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้เช่น รถสามารถเลือกสีได้ตามใจ สามารถออกแบบห้องครัวได้อย่างอิสระ โดยต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่ลงตัวระหว่างความสบายกับความพยายามนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน การทุ่มเทความพยายามมากขึ้นจะกระตุ้นให้เราตีค่าผลงานสูงขึ้นและรักมันมากขึ้น
ความพยายามกับความรัก การตีค่าสิ่งที่ตัวเองทำสูงเกินจริงนั้นฝังรากลึกจนทุกทักว่าคนอื่นก็คิดเหมือนกัน
การเข้าข้างความคิดตัวเอง ทำไมความคิดของฉัน ถึงดีกว่าความคิดของคุณ : การเมินความคิดคนอื่น คือ ถ้าเราไม่ได้เป็นคนคิดขึ้นมา มันก็ไม่มีค่าอะไรนักหรอก คล้ายๆ ทฤษฎีแปรงสีฟัน คือ ไม่มีใครอยากใช้แปรงสีฟันของคนอื่นหรอก การยึดติดกับความคิด หรือทฤษฎีของตัวเองมากไป มีข้อดีคือสร้างแรงจูงใจให้ทุ่มเทความพยายามมากกว่าเดิม
ซึ่งคนเขียนกำลังจะบอกถึงว่า เหตุผลทำให้เรามีความสุขจริงหรอ ? เราจำเป็นต้องหาเหตุผลมารองรับการกระทำของเราทุกครั้งหรอ? เมื่อเราได้อ่านเล่มนี้จบแล้ว จะเข้าใจความหมายของเหตุผลที่แท้จริง
ขอขอบคุณหนังสือดีๆ จาก : Ratshasit Kanyanutsharat