ณ วันที่เขียนบทความนี้(19/09/57) SET index อยู่ที่ 1,584 ซึ่งเรียกได้ว่ากำลังร้อนแรงเลยครับ หุ้นขึ้นแรงแบบนี้ ทำให้เป็นที่หมายปองของคนที่อยากจะรวยเร็วๆเข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเอาความโลภเป็นตัวตั้ง ผมจึงสรุปแนวคิดหุ้น โดยพี่แพท แบบเข้าใจง่ายๆ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดใหม่ ลองอ่านกันดูครับ
ในบทความนี้ เป็นการสรุปย่อๆ จากรายการมือใหม่ ทางช่อง Money Channel ซึ่งเป็นตอนที่พี่แพท ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ได้เป็นแขกรับเชิญในรายการ ในแต่ละตอนก็จะมีหัวข้อในการพูดคุย ซึ่งผมก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาให้อ่านง่ายๆ ออกมาทั้งหมด 40 ข้อหลักๆเกี่ยวกับแนวคิดหุ้น ของพี่แพท ครับ
- Mind SET ตั้งโจทย์ผิด ไม่มีทางรวย
ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น 80% เจ๊ง และ 20% รวย เพราะอะไร? มันเพราะว่าคนส่วนใหญ่อยากจะรวยเร็วๆ มีความโลภ ก็ต้องซื้อหุ่นปั่น ที่กำลังวิ่งขึ้นเร็ว ก็จะได้เร็วและได้เยอะ แต่มันเสี่ยงมากจึงเจ๊ง ถ้าอยากรวยเราต้องมีหลักการ มีแนวคิดหุ้น(Mind SET) ที่ถูกต้อง การลงทุนไม่ใช่การพนัน ต้องคิดวิเคราะห์ มีเหตุ มีผล ปราศจากอารมณ์ของตลาด - ล้างระบบแมงเม่า
ส่วนใหญ่พอได้กำไร +5% +10% ก็จะรีบขายทันที เพราะกลัวราคาหุ้นจะตก แต่ถ้าราคาร่วงลงมาจากจุดที่ควร Cut Loss ก็ไม่กล้าขาย จึงทำให้หุ้นที่เน่าๆ เต็มพอร์ตไปหมด เพราะคิดว่า ไม่ขาย ไม่ขาดทุน จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เราควรจะมีระบบ มีหลักการในการซื้อขายหุ้น และต้องมีวินัย
- Money Game
โดยปกติหุ้นที่ปันผลไม่ดี กำไรไม่สม่ำเสมอ เป็นหุ้นไม่ค่อยจะดีซักส่วนใหญ่ แต่ที่ราคามันขึ้นได้ เพราะมันมีกระแส มีข่าววงใน มีความโลภ ถ้าดีจริง ยอดขาย และปันผลจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่าติดกับดักเกมการเงิน - เปิดประเด็น GEN-Y
ผมเชื่อว่าหลายๆคนอยากมีธุรกิจส่วนตัว เพราะเชื่อว่ายุคนี้เป็นลูกจ้างไม่มีทางรวยได้ ผมแนะนำว่าเราไม่ควรวิ่งเข้าไปทำธุรกิจเองเลย ควรจะไปเป็นลูกจ้างเค้าก่อน ไปหาประสบการณ์ก่อน เพราะเราจะได้เห็นโอกาส ช่องว่างตลาด และจุดบกพร่องขององค์กรนั้นๆ เมื่อเราได้ไอเดีย ลองศึกษามันให้ละเอียด และเกี่ยวเก็บประสบการณ์จากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปก่อน อาจจะซัก 5 ปี ส่วนใหญ่แล้วโอกาสธุรกิจต้องเริ่มมองจากปัญหา เช่น Google ปัญหาคือข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมีมากมาย - Social Entreprenur ยิ่งให้ ยิ่งได้
เคยคิดกันป่ะว่าเรามาแชร์ความรู้ให้คนอื่นทำไม แชร์แล้วคนอื่นก็เก่งกว่าเรา และก็จะมาแข่งกับเรา ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก เพราะสิ่งที่เราได้จากการแชร์ จะทำให้ความรู้เราแน่นขึ้น เป็นการทบทวนความคิด ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดีย และเปิดโอกาสที่คนอื่นจะได้เห็นความสามารถของเราในอนาคต - กระแส IPO
จากที่เคยบอกไว้ว่า Money Game นั้นหลอกล่อคนด้วยความโลภ บริษัทที่เปิด IPO เพื่อต้องการเงินทุนเพิ่ม ก็จะเปิดขายหุ้น (หรืออีกวิธีคือการกู้เงิน) นำไปพัฒนาธุรกิจ เช่น ขยายองค์กร เปิดโรงงานใหม่ ทางบริษัทก็จะจ้าง IB(Investment Banker – ที่ปรึกษาทางการเงิน) มาประเมินราคาหุ้น ซึ่งทางบริษัทก็จะประเมิณให้ราคาสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พอตลาดหุ้นเปิดขายหุ้น IPO ราคาจะพุ่งขึ้นมากกว่าราคาประเมินพื้นฐานเสียอีก ขึ้นเร็วเกินควร เพราะเป็นอารมณ์ความโลภของตลาด โดยปกติบริษัทต้องใช้เวลานานเป็นปีกว่าจะพัฒนาธุรกิจตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ เหมือนซื้ออนาคตที่เสี่ยง
.
. - กระแส M&A ซื้อแพง แทงใจนักลงทุน
M&A คือ กลยุทธ์ซื้อธุรกิจ(คู่แข่ง) ทำให้ขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งใช้เงินค่อนข้างสูง เป็นการซื้ออนาคต ต้องมั่นใจ และศึกษาพื้นฐาน ว่าคุ้มหรือไม่ เมื่อรวมธุรกิจไปแล้ว จะตัดคู่แข่งไปได้หรือไม่? รายได้จะเพิ่มไหม? ธุรกิจเอื้อกับบริษัทแม่หรือป่าว? มีภาระหนี้(ดอกเบี้ยจ่าย)เพิ่มขึ้นเท่าไร? - Mega trend คืออะไร
ต้องสำรวจว่าธุรกิจไหนที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เยอะ เช่น จากธุรกิจคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงมาเป็นธุรกิจมือถือ Focus ในเชิงของรายได้ว่าบริษัทจะมีนโยบายไปจับธุรกิจไหน แล้วเกิดการเติบโตมากขึ้น เช่น การขยายความเจริญในเมืองไปยังต่างจังหวัด ต้องไม่ใช่เป็นแค่กระแส หรือแค่แฟชั่น ที่มาเร็ว ก็จะไปเร็ว - เกาะเมกะเทรนด์อย่างไรให้รอด
ควรระวังธุรกิจที่อาจจะไม่ใช่ Mega trend จริงๆ เพราะบ้างบริษัทไม่ได้ใช้เงินลงทุนเยอะ แต่ออกมาปั้นข่าว นู้นนี้นั้น ทำให้ราคาหุ้นพุ่งแบบก้าวกระโดด คนก็จะแห่เข้าไปซื้อ โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่ เพราะหุ้นปั่นถามว่าบริษัทลงทุนจริงไหม? ก็จริง… แต่ราคามันขึ้นก่อนไปเร็วผิดปกติ จึงทำให้นักลงทุนกว่า 80% อาจจะต้องเจ๊ง เพราะหวังโอกาสอนาคตลมๆ แร้งๆ - กระแสรับสื่อของวัยว้าวุ่น
สมัยนี้ content สำคัญมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่การเป็นดาราส่วนใหญ่ใช้เส้นเข้าวงการ แต่ปัจจุบันต้องมีความสามารถจริง ผ่านเวทีต่างๆ และตลาดจะเริ่มเป็น Nich มากขึ้น จะ Focus ไปที่กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มเด็กวัยรุ่น หรือกลุ่มต่างจังหวัด - อนาคตกลุ่ม MEDIA
เป็นกลุ่มที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องดูว่าองค์กรนั้นสามารถพัฒนาตามทันการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? บุคลากรพร้อมไหม? เราไม่ควรซื้ออนาคตมากเกินไป เพราะมีความเสี่ยง อาจจะต้องดูหุ้นถูกกว่ามูลค่าในกลุ่มนี้ และต้องดีด้วย แต่ส่วนใหญ่กลุ่มธุรกิจนี้กระแสเงินสดจะดี - ดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ
– เมื่อเกิดวิกฤตหนักๆ ห้ามทำอะไรทั้งสิ้น ตั้งสติให้ดี เพราะเกือบทุกอย่าง ถ้ามีลด อีกอย่างนึงต้องเพิ่ม เช่นค่าเงินลด แต่ของใช้ และค่าครองชีพเพิ่มขึ้น
– เงินสดเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ยิ่งถือยิ่งจน
– อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline inflation) คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่บริโภคโดยทั่วไป ซึ่งคำนวณทุกกลุ่มรายการสินค้า โดยแบ่งเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ภายในบ้าน ที่พักอาศัย การรักษาพยาบาล การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร การศึกษา และการสันทนาการ เป็นต้น
– อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) จะไม่นำสินค้าในกลุ่มอาหารสดและพลังงานมาคำนวณอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาสินค้ากลุ่มดังกล่าวมีความผันผวนสูง ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานนี้ถูกใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยจะต้องอยู่ในกรอบ 0.5-3.0%
– โดยทั่วไปตลาดหุ้นสามารถให้ผลตอบแทนปีละ 12% โดยเฉลี่ย ไม่รวมเงินปันผลที่ได้
– สินทรัพย์ที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้เรา ถือว่าเป็นสิ่งที่หลอกล่อเรา เช่น มือถือ รถยนต์ ของใช้ราคาแพง
.
. - โลกแห่ง Junk
– เดียวนี้โจรปล้นตามบ้าน ขโมยเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลง เมื่อเอามาขายต่อ มูลค่ามันน้อยมาก จึงได้พัฒนามาเป็นการโจรกรรมข้อมูลการเงิน เช่น บัตรเครดิต
– ทุกอย่างที่มี ผลตอบแทน มันจะมาพร้อม ความเสี่ยง
– SCC(บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มหาชน) เมื่อ 30 ปีก่อน ราคา 1 บาท แต่วันนี้ประมาณ 400 กว่าบาท ในระหว่าง 30 ปีนั้น มันไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรงเลยๆ แต่มันขึ้นและลงเป็น cycle มันมีความผันผวนมากมาย เราต้องเข้าใจมัน อย่าเป็นกับดักของตลาด
– บริษัทดีๆ ดูจากผู้บริการต้องเก่ง มีระดับหัวกะทิของประเทศเข้าไปทำงาน มีความมั่นคง อยู่กับการบริโภคและการใช้ของทุกคน ซึ่งนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ
– การกระจายการลงทุน ถ้าลงหุ้นซัก 10 ตัว เจ๊งไป 9 ตัว แต่ตัวสุดท้ายขึ้นเยอะ ก็ไม่เสียหายมากนัก - หุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาไม่ดี
– หุ้นดี แต่ราคาไม่ดี ก็ถือว่ายังเป็นหุ้นดีอยู่ ถ้าคุณทนเห็นราคาหุ้นล่วงเกิน 50% ไม่ได้ อย่าเล่นระยะยาว ยกตัวอย่าง SCC มันมีช่วงขึ้นไป 100 บาท และลงไป 20 บาท และขึ้นไป 250 บาท และลงมา 90 บาทเป็นรอบๆ
– หุ้นควรมีปันผลอย่างต่อเนื่อง เช่น ปันผล 10% ถือ 10 ปีก็คืนทุนแล้ว ส่วนใหญ่ที่ปันผลดี จะเป็นหุ้นแข็งแกรง แต่ถ้าปันผลน้อย จะ
เป็นหุ้นเติบโต เอาเงินไปลงทุนเพิ่มเติม
– ปันผลเยอะ คนที่ได้ประโยชน์ คือ ผู้ถือหุ้น และคนถือมากสุด ก็คือเจ้าของ นั้นเอง
– หุ้นดี ราคาอาจจะลงมาเยอะๆ เกิดจากวิกฤต เพราะความตกใจของตลาด อย่างที่เค้าว่ากันว่า… ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดวงดาว ถ้าหุ้นดีจริง มันต้องผ่านวิกฤตหนักๆ ให้ได้
– เล่นหุ่นระยะยาวควรดูกราฟ รายสัปดาห์ คือ Over bought = ซื้อมากไป, Over sold ขายมากไป ยิ่งถ้าราคาลดลง -50% แต่หุ้นตัวนั้นดี พื้นฐานไม่เปลี่ยน ก็สามารถเริ่มทยอยซื้อได้เลย และควรซื้อตอนที่มีแต่ข่าวร้ายของหุ้นตัวนั้น (สวนตลาด)
– ราคาหุ้นขึ้นก็เหมือนขึ้นบันได แต่ถ้าหุ้นลงจะเหมือนลงลิฟท์ ถ้าราคาหุ้นที่คิดว่าดี ที่เราถืออยู่ลงมากๆ ถามว่ามีวิธีแก้ไหม ? ตอบได้เลยว่าไม่มี จะมีแต่ซื้อเพิ่ม เพราะบ้างครั้งหุ้นตัวนั้นยังปันผล และมีกำไรสะสมดีอยู่ - สร้างเงินจากลม ธนาคารเท่านั้นที่ทำได้
– พอประเทศไหนเกิดวิกฤต ประเทศนั้นก็จะพิมพ์เงินออกมาตลาด(มาตรการ QE) เงินในตลาดก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะแก้ได้เพียงชัวคราวเท่านั้น แต่ข้อเสียคือ ถ้าเงินในตลาดมันเยอะๆ มูลค่ามันก็จะน้อยลง สมัยก่อนการพิมพ์เงินออกมา ต้องมีทองค้ำประกันไว้ แต่สมัยนี้ใช้หนีค้ำแทน จนทำให้บ้างประเทศมีหนี้เกิน GDP
– เราต้องเข้าใจในการลงทุน เราต้องว่างเงินใน asset ที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะรวยขึ้น สมมุติธนาคารได้รับเงินฝาก 100 บาท ธนาคารจะกันเงินไว้ 10 บาท ที่เหลือ 90 บาทจะปล่อยให้กู้เลย
– สมัยนี้การเป็นเศรษฐีร่ำรวยสามารถเป็นได้แค่ Generation เดียวก็ได้ ไม่ต้องรอมรดกจากพ่อแม่
ผ่านไปแล้วนะครับ สำหรับ 15 ข้อแรก กับแนวคิดหุ้น โดยพี่แพท ยังเหลืออีก 25 ข้อนะครับ ติดตามอ่านต่อกันตอนที่ 2 ตามลิ้งค์นี้เลยครับ >>> www.abzolute.in.th/แนวคิดหุ้น-ภาววิทย์-2
ใครมีข้อสงสัย หรืออยากจะแนะนำ ติชม พูดคุย แชร์เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ แหะๆ 😀
ขอบคุณรูปจาก : fan page พี่แพท ภาววิทย์ (Pawawit Stock Comment)