สรุป 40 แนวคิดหุ้น โดยพี่แพท ภาววิทย์ [2/3]

ยิ่งช่วงนี้ราคาหุ้นผันผวนมาก กำลังจะปรับฐาน และอยู่ในช่วงตลาดขาลง(หรือกำลังจะขึ้น ?) หลายๆคนกำลังตกใจ หลงกับจิตวิทยาในตลาดมากเกินไป เรามาตั้งสติกันก่อนครับ

จากตอนที่แล้ว แนวคิดหุ้น (www.abzolute.in.th/แนวคิดหุ้น-พี่แพท-1) ที่พูดไป 15 ข้อแล้ว ในตอนนี้จะมาพูดกันต่ออีก 10 ข้อนะครับ

แนวคิดหุ้น_แพทภาววิทย์2_3

16.) ฝรั่ง take action อย่างกับรู้
– ในตลาดทุกคนมีข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น เจ้าของกิจการ และนักการเมือง จะรู้นโยบายก่อน เพราะฉะนั้นอย่าเล่นตามข่าว เพราะเราไม่มีทางทันพวกเขา
– ถ้าในตลาดมีแต่ข่าวดี แปลว่าหุ้นตัวนั้นแพงเกินไป เราควรซื้อตอนที่มีแต่ข่าวร้าย จะดีกว่า
– ฝรั่งซื้อหุ้นไทยได้กำไรหลายต่อ เช่น ค่าเงิน ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า และเวลาฝรั่งเข้าก็จะเข้าครั้งใหญ่ เวลาออกก็จะเอาออกหมด
– เวลาค่าเงินบาทอ่อน ส่วนใหญ่ฝรั่งจะเทขายหุ้น เพราะเขาจะได้กำไรเพิ่ม จากส่วนต่างค่าเงินบาท

17.) วิธีรับมือหุ้นปั่น
– หาหุ้นดีๆสัก 20 ตัวเก็บเอาไว้แล้วรอวิกฤตค่อยซื้อ ใน 1 ปีจะมีวิกฤตสัก 2-3 ครั้งซึ่งเป็นวิกฤตเล็กๆ
– หุ้นที่ขึ้นแรง อย่างที่บอก จะลงแรงเช่นกัน ถ้าเราไม่มี stop loss ก็จะขาดทุนได้ง่าย

18.) การจำนำข้าว และราคายางพารา
– ไม่ควรทำทั้งการประกันราคา และการจำนำข้าว เพราะมันไปบิดกลไกตลาด ทำให้ตลาดไม่เสรี ต้องช่วยกันให้ชาวนาทำกันเอง และให้ความรู้ ถ้าเป็นต่างประเทศเค้าจะซื้อขายล่วงหน้า และจะมาคำนวนว่าต้นทุนมันคุ้มหรือป่าว สามารถควบคุมความเสี่ยงได้
– จริงๆ ตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีจุดประสงค์หลักเพื่อ ป้องกันความเสี่ยง
– ปัญหาจริงๆ คือ ชาวนายังไม่มีความรู้
– ตราสารอนุพันธ์ (DERIVATIVES) ก็คือสิ่งที่ไปอ้างอิงกับอีกสิ่งนึง และราคาวิ่งตามสิ่งนั้น
– ถ้าเราไปกำหนดราคาข้าว หรือยางพาราให้ชัด ต่างชาติจะรู้ และก็มากดดันราคาเราได้ง่าย
– เราควรเน้นให้นำวัตถุดิบมาแปลรูป เพราะว่าถ้าขาย Commodity(เช่น สินค้าเกษตร และพลังงาน)  ราคาผันผวนมาก ขายวัตถุดิบไม่มีทางรวย ควรขายสิ่งที่เพิ่มคุณค่าเข้าไปจากวัตถุดิบ

19.) Asset ที่แข็งแรงที่สุดในโลกคือ ?
– Asset คือ สิ่งที่มีอยู่จำกัด และมีความต้องการ ต้องดู Demand – Supply
– ธุรกิจที่อยู่บนฐานความรู้เป็นหลักและใช้ไอเดีย ส่วนใหญ่จะเติบโตได้เร็ว และยั่งยืน

แนวคิดหุ้น_แพทภาววิทย์2_2

20.) การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังเปิด AEC
– เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ จะมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรี เช่น แรงงาน สินค้า บริการ และเงินทุน
– ตอนนี้เกือบทุกธุรกิจจะโดนจับจองความเป็นที่ 1 อยู่แล้ว เช่น ค้าปลีก โรงพยาบาล ถ้าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีคนรวยใหม่ๆ
– มีโอกาสเปลี่ยนแปลงเรื่อง logistic เพราะทำเลประเทศเราอยู่ตรงกลาง ถ้าตัดประเทศไทยก็จะยากในเรื่องขนส่ง
– ในแต่ละเมืองต่างๆ จะเริ่มเจริญมากขึ้น ถนนจะเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
– เราควรจะเริ่มธุรกิจที่ต้นทุนต่ำ เน้นใช้ไอเดียเป็นหลัก
– หุ้นคือ New Landlord ของระบบเศรษฐกิจ
– ตอนนี้ถ้าใครมีที่ดิน และราคาขึ้นมา 5 เด้ง 10 เด้ง ให้ขายเลย และเอาเงินนั้นมามองอนาคตลงทุนอย่างอื่นที่ดีกว่า
– ธุรกิจที่ผมแนะนำ คือ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางแนะนำ หรือไปช่วยให้ต่างประเทศมาลงทุนในไทยง่ายขึ้น เหมือนเป็นตัวแทนกระจายสินค้า ประมานงานร่วมทุนกับเค้า
– ที่ดินมีจ่ายภาษีด้วย ถ้าเราไม่ได้นำไปพัฒนา ก็ยิ่งเสียภาษีมากขึ้น
– ปัจจุบันมีการบริโภคมากขึ้น ใช้เงินอนาคตมากขึ้น มีรายจ่ายประจำมาก
– เราควรผลัดวันประกันพรุ่งความอยาก ชะลอการซื้อของที่อยากได้
– รถหรู บ้านใหญ่ ควรจะใช้เศษเงินซื้อ ตอนที่มีเงินระดับนึงแล้ว
– หุ้นที่ดี แต่ปันผล 1% ส่วนใหญ่แล้วมันจะต้องแพง!

21.) การอยู่รอดในยุคที่อยู่ยาก
– การเกิด Miracle AEC เริ่มแล้ว เช่น CPALL ซื้อ MAKRO เพื่อขยาย
– เราต้องอ่านเกมให้ถูก คนส่วนใหญ่ชอบซื้อตอนที่คนอยากจะลงทุนหุ้นตัวนั้นเยอะๆ หรือผู้บริหารพูดถึงข้อดีเยอะๆ แปลว่าราคามันแพงละ เราควรซื้อตอนที่บริษัทเงียบๆ
– เมื่อเกิด AEC การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น เราต้องเตรียมพร้อมตัวเอง เพราะโอกาสน้อยมาก และโอกาสจะมาหาสำหรับคนที่พร้อมเท่านั้น
– จะวัดว่าเก่งไม่เก่ง ดูตรงที่มีคนมาขอความช่วยเหลือเยอะไหม ? เราจึงต้องมีน้ำใจ และเราจะต้องอดทนเพื่อที่จะถึงจุดที่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ ต้องสร้าง Value ให้ตัวเอง ต้องแตกต่างในด้านดีแล้วโอกาสจะมาเอง
– บริษัทที่ออกไปลงทุนต่างประเทศ ในช่วงแรกส่วนใหญ่จะขาดทุนก่อน เป็นช่วงเรียนรู้ ค่อนข้างจะเหนื่อย แต่ถ้าสำเร็จ มันจะถือว่าเป็นการประสบสำเร็จอย่างมาก

22.) วิกฤตร้อน สะท้อนอะไร
– Social media ทำให้เราเปรียบเทียบกับคนอื่นมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น แชร์ของกินหรูๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ เหมาะสำหรับคนมีดีอยากจะอวด มีแต่คนแชร์ด้านดีตัวเอง จึงทำให้คนกู้เงิน เพื่อที่จะมาสนองความต้องการ
– เหตุผลที่คนไม่ประสบความสำเร็จในตลาด เพราะซื้อๆ ขายๆ จริงๆเราควรซื้อ และไม่ขาย (Buy and hold)
– ต้องเลือกประเภทของหุ้น โดยใช้เงินปันผล และต้องกระจายความเสี่ยงอย่างน้อย 5 ตัว เช่น PTT เมื่อ 10 ปีที่แล้วเปิด IPO 30 บาท ผ่านไป 1 ปี ราคา 31 บาทก็ขายกันเยอะ เพราะรอไม่ไหว แต่ถ้าวันนี้เรายังไม่ขาย ปันผลหุ้นละ 13 บาท ก็เท่ากับปันผล เกือบ 50% จากเงินต้น

แนวคิดหุ้น_แพทภาววิทย์2_1

23.) การแข่งขันที่ไม่แน่นอน
– เราต้องดูจังหวะ สำหรับหุ้นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม ไม่ควรไปลงทุนตอนที่ทุกคนอยากจะลงทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ทุกคนได้กำไรพร้อมกัน ควรซื้อตอนปรับฐาน
– ถ้ามีคนถามหุ้นตัวนี้เยอะมาก มีแต่คนสนใจ ส่วนตัวผมก็จะไม่ดูเลย เพราะนั้นแปลว่าราคาแพงไป
– ถ้าที่ 1 ไม่ได้เป็นที่ 1 อีกต่อไป เบอร์ 2 กำลังจะแซงที่ 1 แล้วจะต้องซื้อตอนไหน ? ก็ต้องใช้เทคนิคเข้าช่วย คือ สัญญาณ Divergent และถ้าแตะ Over sold ไม่ใช่ว่าขายเลย แต่ว่าใกล้จะต้องขายแล้ว

24.) Freedom is Slavery
– เราควรแบ่งเงินส่วนนึงมาลงทุนเป็นประจำ และควรเริ่มตั้งแต่วันนี้
– สมมุติหุ้น 10 บาท บ้างครั้งมันก็ร่วงลงมาที่ 4 บาทโดยไม่มีเห็นผล แต่ถ้ามันเป็นหุ้นดีจริง มันก็อาจจะขึ้นเกิน 10 บาทด้วย แต่ต้องใช้เวลา บ้างครั้งต้องรอถึง 3 ปี

25.) ภาวะตลาดหุ้นเล่นยาก ต้องทำอย่างไร ?
– ในตลาดจะมีทั้งช่วงที่เล่นง่าย และช่วงที่เล่นยาก คนส่วนใหญ่จะเข้ามาตอนปลายๆ เล่นง่าย คือ ตอนมันขึ้นใกล้จะสุดแล้ว ซึ่งช่วงแรกๆ จะได้กำไรชั่วคราวเท่านั้น เพราะถ้าเล่นยาก เวลาซื้อจะขาดทุน หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน 5555
– ถามว่าหุ้นแพงไม่แพง ดูที่ปันผล ถ้า 1% นี่เริ่มแพงแล้ว ย้ำอีกครั้ง
– ตลาดมันทดสอบว่าเราอยากจะรวยจริงป่าว
– จับจังหวะการซื้อขาย ดูที่กราฟ over bounght – over sold ดูกรอบประมาณรายสัปดาห์ หรือกรอบรายเดือน
– ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรขายทำกำไร ถ้าหุ้น over sold อยู่แปลว่าอุตสาหกรรมนั้นน่าจะแย่ และรายได้ไม่ค่อยดี ถ้ามันปันผลได้ เวลามันวิ่งสูงขึ้น ปันผลจะได้มาก
– ซื้อสิ่งที่ทุกคนคิดว่าไม่ดี ถ้าคนส่วนใหญ่พูดถึงค้าปลีก ผมก็จะไม่ดู ต้องแวกแนวตลาด

26.) วิธีเก็บเงินของ Steve Jobs
– ต้องจ่ายเงินซื้อประสบการณ์ ต้องเคยเจ็บมาก่อน เหมือนนักกีฬาซ้อมสนามจริง
– ไม่ขอยืมเงินจากคนอื่น เพราะการเป็นหนี้ทำให้หนทางไปสู่ความมั่งคั่งช้าลง
– ถ้าล้มแล้ว จะโดนเหยียบซ้ำ และจะลุกยากกว่า อีกวิธีคือการเรียนรู้จากผู้อื่น
– เราต้องชอบเรียนรู้ อ่านหนังสือ ใฝ่รู้ หนังสือเป็นหน้าต่างของชีวิต บ้านไหนไม่มีหนังสือ ก็เหมือนกับบ้านนั้นไม่มีหน้าต่าง
– หุ้นดีๆ ส่วนใหญ่มีตระกูลใหญ่ๆ ถือไว้หมด
– การลงทุนระยะยาว เพื่อนแท้ คือ ระยะเวลา
– หาหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นค่ามัน ซื้อตอนที่ไม่มีข่าว หรือไม่มีเหตุผลที่ดีออกมาเลย
– หุ้นที่ขึ้น over bourgh แล้วมักจะน่ากลัว
– ถ้าอยากจะซื้อที่ดินแพงๆ เราไม่มีโอกาส เราจึงต้องไปซื้อหุ้น CPN เพื่อให้เขาพัฒนาที่ดินแทนได้ดีกว่าเรา
– คนส่วนใหญ่ชอบซื้อตอน over bounght แล้วทยอยซื้อจากข้างบนลงมาข้างล่าง แต่จริงๆเราต้องรอซื้อตอน over sold และซื้อเฉลี่ยขาขึ้นถึงจะถูก

จบไปแล้วกับตอนที่ 2 ยังมีเหลืออีก 14 ข้อสุดท้ายแล้วนะครับ ติดตามอ่านกันได้ตอนที่ 3 ตามลิ้งค์นี้เลยครับ >>> www.abzolute.in.th/แนวคิดหุ้น-ภาววิทย์-3
ถ้าผิดพลาด หรือเข้าใจผิดตรงส่วนไหน มาพูดคุยกันได้ครับ ผมก็มือใหม่ที่กำลังศึกษาหุ้นอยู่ 😀

ขอบคุณรูปจาก : fan page พี่แพท ภาววิทย์ (Pawawit Stock Comment)

#เพิ่มพลังด้านบวก #สร้างแรงบันดาลใจ #หลงไหลการลงทุน